วันที่ 30 มิถุนายน 2558
สวัสดีไดอารี่ที่รัก
นี่เป็นบันทึกหน้าแรกที่ฉันเริ่มเขียนเล่าให้เธอฟัง เธออาจสงสัยว่าฉันมีเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟัง อันที่จริง...มันอาจเป็นเรื่องราวที่แสนธรรมดาสำหรับเธอ แต่มันไม่ธรรมดาสำหรับฉัน และตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรเล่าให้ใครฟังไหม เมื่อคิดไม่ตก ฉันเลยนึกถึงเธอเป็นคนแรก
ก็อย่างที่รู้ ณ ปัจจุบันฉันยังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งในบริษัทสื่อไดเรคทอรี่ชื่อดัง(ในสมัยก่อน)อยู่เป็นปีที่ 2 แล้ว ด้วยนโยบายของบริษัท ทำให้ฉันและเพื่อนร่วมทีมที่ปกตินั่งทำงานชั้น 27 ต้องถูกโยกย้ายที่นั่งลงไปอยู่ชั้น 26 ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำฉันรู้สึกเซ็งมาก เพราะชั้น 26 เป็นชั้นที่มีทีมออนไลน์และทีมเซลล์นั่งอยู่ ซึ่ง 2 ทีมนี้ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ใช้ "เสียง" ได้อย่าง "คุ้มค่า" ในเรื่องที่ "ไม่คุ้มค่า" เอาเสียเลย การย้ายลงไปนั่งระหว่างกลาง 2 ทีมนี้จึงเป็นอะไรที่ชวนบั่นทอนสมาธิในการทำงานของฉันอย่างมาก
และมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้อีกนั่นแหละที่ฉันมันดันเป็นเพียงพนักงานตำแหน่งต๊อกต๋อย ทำให้ตัวฉันหมดสิทธิ์โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น สุดท้ายจึงทำได้เพียงเก็บข้าวของทั้งหมดโยนใส่ลังกระดาษ และเตรียมหอบหิ้วลงไปจัดใหม่ที่ชั้น 26 อย่างไม่มีทางเลือก
พี่ๆ ในทีมต่างบ่นกันระงมถึงคำสั่งที่ชวนเซ็งนี้ โดยเฉพาะแกงค์ฉัน ทีมคอนเท้นต์ ผู้ซึ่งเป็นยิ่งกว่าชนกลุ่มน้อยเพราะเป็นทีมที่แตกย่อยออกจากทีมมาร์เก็ตติ้งอีกทีหนึ่ง โดยทีมคอนเท้นต์นั้นมีสมาชิกเพียงแค่ 3 คนคือ ฉัน พี่อัส และพี่ปลา หน้าที่หลักๆ ของพวกเราคือการเขียนบทความทุกสิ่งอย่างที่บริษัทต้องการ ซึ่งแบบ...บางทีมันก็แอบน่าเบื่อเหมือนกันนะ
"เก็บของเสร็จเรียบร้อยยัง เราขนของลงไปข้างล่างกันเลยมั๊ย" พี่ปลาผู้ซึ่งดูแอคทีพที่สุดในบรรดาคอนเท้นต์ 3 คนเอ่ยถาม ฉันกับพี่อัสมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าตกลง จากนั้นพวกเราก็จัดการเอารถเข็นคันใหญ่มาใส่คอมพิวเตอร์ PC และอุปกรณ์ชิ้นใหญ่อื่นๆ ลงไป และเข็นมันเข้าลิฟท์ลงไปจัดระเบียบกันที่โต๊ะทำงานชั้นล่าง
“พี่อัสแกไปตามพี่โม่มาเซ็ตคอมทีดิ เดี๋ยวปลากับโบว์จะขึ้นมาเอาของที่เหลือลงมาให้”
“เออๆๆ รอแป๊ป ขอต่อสายตรงนี้ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวไปตามให้” พี่อัสตอบไล่หลังมา ฉันและพี่ปลาเดินขึ้นชั้นบนเพื่อหอบหิ้วลังใบใหญ่กันคนละใบลงมา จากนั้นฉันก็กลับขึ้นไปอีกครั้งเพื่อหิ้วลังใส่ของของพี่อัสลงมาด้วย ไม่อยากจะเชื่อ นี่พี่แกขนอะไรมานะเนี่ย ทำไมมันถึงได้หนักขนาดนี้!
ฉันกระเตงร่างตัวเองและลังใบใหญ่เดินออกจากลิฟท์ได้สำเร็จ ประตูอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว แต่ฉันดันติดปัญหาที่ว่า ฉันไม่มีมือที่สามสี่ห้าสำหรับจะสแกนนิ้วและผลักประตูเข้าไปข้างในนี่สิ และในระหว่างที่กำลังสับสนกับตัวเองว่าควรวางของที่พื้นเพื่อสแกนนิ้วก่อนดีหรือไม่ก็เหมือนคนบนฟ้าจะเห็นใจ เลยส่งผู้ช่วยมาให้หนึ่งคน
เขาคนนี้เป็นผู้ชายที่ดูไม่มีอะไรโดดเด่น นอกจากท่าทางการเดินที่ออกจะดูนักเลงไปเสียหน่อย รูปร่างผอม ไม่สูงมากนัก ดูทรงแล้วคงราวๆ 170 เซ็นพอดี แต่สิ่งหนึ่งที่มันสะดุดใจฉันเข้า นั่นคือดวงตาของเขา ที่มันสื่อถึงความมุ่งมั่นที่เปี่ยมล้นออกมา
เขากำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง ก่อนจะหันมาเจอฉัน จากนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปกดเปิดประตูให้ ฉันยิ้มและพยักหน้าให้แทนการขอบคุณ ก่อนที่จะเดินสวนเข้าออฟฟิศไป แปลกจัง ทำไมถึงได้รู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้นะ
และนั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉัน อยากบอกเล่าเรื่องราวให้เธอฟัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น