วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มื้อนี้ (จะ)จำได้ดีไปอีกนาน


เคยมีบางครั้งที่ใครต่อใครหลายคนถามฉันว่า อาหารมื้อไหนที่ฉันจดจำได้ดีที่สุด แน่นอนว่าคำตอบของฉันนั้นมักแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หรืออาจพูดได้ว่า พอเมื่อช่วงเวลาที่น่าจดจำอันใหม่แวะเวียนเข้ามาแทนที่ ช่วงเวลาเก่าก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะถูกจัดเก็บลงในตู้เซฟแห่งความทรงจำนั่นเอง ดังนั้น ในวันนี้ที่ฉันถูกตั้งคำถามว่า

อาหารมื้อไหนที่ฉันจดจำมันได้ดีที่สุด

ฉันจึงขอตอบคำถามด้วยความทรงจำล่าสุดที่ฉันคิดว่านั่นแหละ สมควรแก่การจดจำในตอนนี้


จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมนั้น พี่ๆ แกงค์ MKT ของบริษัทก็ได้แชทเข้ามาชักชวนหาวันว่างไปออกทริปประจำปีกัน ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า เราจะออกเดินทางเที่ยวลัลล้าฮาเฮกันในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2559 โดยไม่ลืมแก้เคล็ด กันคนเบี้ยวด้วยการจัดแจงจองที่พักพร้อมโอนเงินเต็มจำนวนผ่านเว็บเอเจนซี่ชื่อดังแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าไม่เช็คข้อมูลให้ดีเสียก่อนด้วย

วันเวลาผ่านไปจึงถึงวันที่ 21 ฉันเริ่มมีอาการป่วยฉับพลัน อยู่ๆ โรคกระเพาะที่ห่างหายไปนานก็ได้แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนฉันอย่างกระทันหัน แน่่ล่ะว่าหากถึงวันที่นัดหมายแล้วยังไม่หายป่วย บุพการีที่เคารพคงไม่ยอมให้ฉันออกจากบ้านเป็นแน่ ด้วยความห่วงเที่ยว ฉันเลยจัดการ ลาป่วยวันที่ 22 และประโคมสารพัดสิ่งที่จะช่วยให้หายจากอาการป่วยได้เร็วที่สุด โชคดีว่ามันได้ผล วันที่ 23 ฉันจึงได้ร่วมทริปโหด มันส์ ฮานี้พร้อมทุกคน โดยไม่ลืมพกยาติดตัวไปเผื่อฉุกเฉินด้วย


และบางทีฉันก็ว่า ฉันคิดผิดอย่างแรงที่ไปร่วมทริปนี้ เพราะแม้ว่ามันจะสนุก แต่ก็มีเรื่องชวนผิดหวังอยู่หลายอย่างเช่นกันเนื่องจาก...

หนึ่ง...เว็บเอเจนซี่ปลักหมุดใน Google Maps พาพวกเราไปผิดที่(แต่อยู่ในเส้นทางใกล้เคียงกัน) แถมยังพาขึ้นเขาจนไปเจอทางที่ถนนขาด เกือบได้เป็นผีเฝ้าป่าเขากันทุกคนแล้ว

สอง...หลังจากพยายามติดต่อเจ้าของบ้านอยู่นาน ในที่สุดก็ติดต่อได้ แต่อีกฝ่ายกลับพูดจาไม่รู้เรื่องจนเสียเวลาวนรถหาบ้านอยู่นานทีเดียว

สาม...บ้านที่คิดว่า โอเค มันต้องสวย เหมาะสมกับเงินที่จ่ายไป มีสระว่ายน้ำชิลล์ๆ หน้าบ้านให้ได้นอนแช่เล่นสบายใจเฉิบตามภาพอย่างแน่นอน พอไปถึงจริง สิ่งที่มโนเอาไว้ได้พังทลายจนได้ยินเสียงครืนนนดังในหัวยังไงยังไง บ้านสภาพแย่มาก พื้นเหนียวด้วยน้ำยาเช็ดทำความสะอาด ครัวดูสกปรก แก้วน้ำ จาน ชาม ถูกคว่ำไว้ประหนึ่งว่าล้างเเล้วแต่คราวมัน กลิ่นคาว เศษอาหารเหลือติดบนจานอย่างน่าสะพรึง สระว่ายน้ำยิ่งแล้วใหญ่ สภาพน้ำสีขุ่น ดูไม่ใส่น่าเล่นเลยสักนิด

งานนี้จะโทษใครก็ไม่ได้ พวกเราใจร้อน รีบจ่ายเงินกันแต่แรกเอง

เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องอยู่กันไป จ่ายเงินไปหลางตังค์ จะให้ตีรถกลับ ก็เกรงว่าจะเสียเงินฟรีเพราะทางเอเจนซี่ก็ไม่จ่ายเงินคืนด้วย จากนักท่องเที่ยวจนกลายสภาพเป็นอีแจ๋วกันในบัดดล!

(ขอแอบปิดหน้าคนอื่นไว้สักเล็กน้อย เหลือแต่หน้าอีชั้นก็พอ แหะๆ)

และด้วยความที่เลือกจองบ้านแบบพูลวิลล่าเพราะคาดหวังว่าจะทำครัวกินกันเองแทนที่จะไปนั่งทานที่ร้าน แต่ด้วยสภาพครัวที่ดูไม่เอื้อเท่าไร หลังจากทำความสะอาดบ้านเสร็จ พวกเราเลยตรงดิ่งเข้าตลาดสด เพื่อแวะหาซื้ออาหารทะเลทั้งหลายเข้ามาทานกัน โดยให้ทางร้านเป็นคนจัดแจงนึ่ง ย่าง เผา ให้เรียบร้อย แลกกับการเสียเวลารอนานกว่า 2 ชั่วโมง


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อย พวกเราก็ไม่รอช้า รีบบึ่งกลับเข้าบ้าน นั่งพักสักแป๊ป ก่อนจะทยอยนำอาหารให้ภาชนะที่พอมีอยู่ เมนูที่จัดมาคือ ปลาเผา, กุ้งเผา, ปูม้านึ่ง, หอยนางรมสด, หอยหวานย่าง, ปลาหมึกย่าง, ตามด้วยเมนุสุดพิเศษจากฝีมือพี่สองคนในแกงค์ซึ่งทำอาหารเก่งที่สุดจัดมาให้ ได้แก่ ข้าวผัดไข่ และกะหล่ำผัดน้ำปลา ตบท้ายด้วยผลไม้ที่พี่มาร์คอม(ขอแทนชื่อด้วยตำแหน่งงานละกัน)รีเควสมานั่นคือ มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบทานคู่พริกน้ำปลา เมนูสุดแซ่บที่นางทานคนเดียวเกือบหมดจานเพราะคนอื่นไม่กล้าแตะ





(ถ่ายมาแค่บางภาพนะ)

ค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความผาสุข หยอกล้อ เมาธ์มอยส์ ร้องเกะกันเพลินๆ โดยที่ทุกคนพร้อมลืมกันไปเลยว่า ใครหัวหน้า ใครลูกน้อง

ในที่นี้ทุกคนคือ เพื่อน คือพี่น้อง ที่พร้อมเป็นตายไปด้วยกัน

ปาร์ตี้แสนสนุกแบบนี้ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เจ้าอาหารมื้อนี้จะกลายเป็นต้นเหตุให้พวกเราต้องรีบดิ่งกลับบ้านในวันต่อมาแทนที่จะได้เที่ยวตามทาง

มันเริ่มมาจากเช้าวันที่ 24 ฉันซึ่งตื่นแต่ 6 โมงด้วยความเคยชินได้ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ หลังจากจัดการธุระของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คิดว่าจะกลับเข้าไปนอนกลิ้งบนเตียงอีกสักหน่อย ก่อนจะต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ยินเสียงโอดครวญดังขึ้นเบาๆ บริเวณห้องนั่งเล่น ในใจคิดว่า

เอาแล้วไง เจอดีเข้าแล้วเหรอกู

ก่อนทำใจดีสู้เสือเดินย่องไปดู เสียงที่ได้ยินไม่ยักใช่ผี แต่เป็นเสียงของพี่มาร์คอมซึ่งกำลังนอนขดตัวร้องโอดโอยอยู่บนโซฟาต่างหาก ฉันรีบเข้าไปดูอาการ ถึงได้ทราบว่าพี่เขาท้องเสียและอาเจียนไม่หยุด แถมยังมีอาการปวดท้องเกร็งทรมานอีก เห็นดังนั้นฉันจึงเดินกลับห้องไปหยิบยาแก้ปวดท้องมาให้ พี่มาร์คอมทานยาไป แต่ยังคงร้องโอดโอยไม่หยุด ฉันคิดว่า รอสักพักยาคงเริ่มออกฤทธิ์ เลยจัดการไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อนย แต่เมื่อออกมาพี่เขาดูอาการไม่ดีขึ้น ฉันจึงตัดสินใจเดินเคาะประตูห้อง ปลุกพี่ๆ คนอื่นเพื่อถามว่าใครมียาแก้ท้องเสียบ้าง โชคดีที่พี่คนหนึ่งมี แต่โชคไม่ดีตรงที่ทานเข้าไปแล้วพี่มาร์คอมอ้วกออกมาจนหมด สุดท้ายไม่รู้จะทำยังไงเลยคุยกันว่า จะให้พี่คอนเท้นท์ผู้ชายขับรถพาพี่เขาไปโรงพยาบาลโดยมีฉันนั่งไปด้วยเพราะสภาพเตรียมพร้อมที่สุดแล้ว

การไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐต่างจังหวัดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรพกมาไม่ใช่เงินหรือบัตรประกัน แต่ควรพก "ความใจเย็น" มามากกว่า เพราะกว่าที่พี่มาร์คอมจะได้ทำการรักษาก็เสียเวลารอนานกว่า 1 ชั่วโมงทีเดียว หลังจากออกจากโรงพยาบาลและตรงกลับเข้าบ้านแล้ว พวกเราก็ให้พี่มาร์คอมทานโจีก ทานยา และนอนหลับซักตื่น ก่อนเตรียมตัวเช็คเอ๊าท์ออกจากบ้านพักตอน 11 โมง

แพลนในตอนแรกที่คิดว่าจะแวะเที่ยวตามทางระหว่างกลับบ้านนั้นถูกพับเก็บแบบที่ไม่มีใครคิดท้วงติง เพราะทุกคนเป็นห่วงพี่มาร์คอม ก่อนที่จะต้องวกหันกลับมาห่วงตัวเองกันด้วย เพราะไปๆ มาๆ ก็เริ่มมีสมาชิกคนที่สองเกิดอาการท้องเสียขึ้นบ้าง งานนี้พวกเรามองหน้ากันและพร้อมใจเลยว่า

รีบกลับบ้านกันเถอะ

เรื่องราวมันดันไม่จบลงแค่นั้น เมื่อจู่ๆ พี่คอนเท้นท์ผู้ชายก็เกิดอาการท้องเสียด้วยเช่นกัน! ปัญหาอยู่ที่รถคันนี้เป็นเกียร์ธรรมดา ไม่มีใครขับได้นอกจากพี่เขา งานขับนรกเลยต้องมา งานรีบเบิ่งรถกลับบ้านเลยต้องมี

และคงด้วยอานุภาพแห่งท้องเสียกระมัง ทำให้พวกเราไปถึง BTS กันได้ด้วยเวลาเพียง 2 ชั่วโมงจากที่พักเท่านั้น! หลังจากที่ส่งทุกคนถึงที่นัดพบเรียบร้อยแล้ว พี่คอนเท้นท์ก็รีบเบิ่งกลับบ้านไปหาส้มที่รักทันที ส่วนพวกเราก็แยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน โดยยังคงไถ่ถามอาการทางแชทกันเป็นระยะ และพบว่า พี่เมเนเจอร์หนึ่งเดียวของแกงค์ก็เกิดอาการท้องเสียเป็นรายที่สี่ ตามมาด้วยพี่ตากล้องเป็นรายที่ห้า ส่วนที่เหลือรวมถึงแนด้วยดูเหมือนจะรอดกันหมด

ในเช้าวันที่ 25 หรือก็คือวันนี้ ทุกคนที่มีอาหารป่วยยังคงไร้เรี่ยวแรง ยื่นลาป่วยกันเกือบหมดแผนก บางคนก้บอกวิ่งห้องน้ำ 10 รอบบ้าง อ้วกแตกทั้งคืนบ้าง ไข้ขึ้นสูงจนมึนหัวไปหมดบ้าง เจอแบบนี้ก็คงสรุปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า "อาหารเป็นพิษ" แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่า อาหารจานไหนกันที่ทำให้แกงค์กินแหลกกลายสภาพเป็นแกงค์ขรี้แตกแบบนี้ เพราะพวกเราก็ดันจัดหนักจัดเต็มกันจริงๆ

และนี่แหละจึงกลายมาเป็นความทรงจำแห่งอาหารอันใหม่ของฉันเลยว่า

มื้อนี้...จำไปอีกนาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น