วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สมุดจดศัพท์




สมัยที่ยังเด็ก ฉันอยู่ในครอบครัวที่จัดว่าฐานะยากจน ปะป๊าต้องออกไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดไกลๆ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ในบ้านจะมีเพียงม่ะม๊า พี่ชายและฉันเท่านั้น ในแต่ละวัน ม่ะม๊าจะให้เงินค่าขนมฉันเพียง 10-15 บาทเท่านั้น เพราะที่โรงเรียนมีข้าวเที่ยงให้ทานฟรี ส่วนขนมก็ราคาถูก 5 บาท 10 บาทว่ากันไป จะมีเพียงวันเสาร์ที่ฉันจะได้รับค่าขนมเพิ่มเป็น 20-30 บาท เพราะต้องออกไปเรียนพิเศษข้างนอก ในตอนนั้นฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองได้เงินน้อยหรืออะไร จนกระทั่งมีลูกพี่ลูกน้องไปเรียนพิเศษด้วย และได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนสอนพิเศษถึงเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เด็กคนอื่นได้รับค่าขนมไปโรงเรียนกันเยอะกว่าฉันทั้งนั้น


ถึงตอนนั้นจะรู้สึกอิจฉาคนอื่นอยู่บ้าง แต่ตัวฉันก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ครูสอนพิเศษเอาสมุดจดศัพท์เล่มจิ๋วลวดลายน่ารักมาขายในราคา 39 บาท แน่นอนว่าเด็กผู้หญิงทุกคนกรูกันเข้าไปซื้อคนละเล่ม 2 เล่ม ส่วนตัวฉันทำได้เพียงนั่งมองตาละห้อยเพราะรู้ดีว่าตัวเองมีเงินไม่เพียงพอ ฉันอยากได้สมุดนั่นมากเพราะเห็นคนอื่นมีกัน ครั้นจะขอยืมเงินลูกพี่ลูกน้อง เขาก็มีให้ยืมไม่พอ ฉันจึงได้แต่ยิ้มจ๋อยๆ ในตอนที่เพื่อนๆ ซื้อมาแล้วนำมาอวดกัน ซึ่งเมื่อครูเห็นเข้า เขาก็บอกกับฉันว่า อาทิตย์หน้าจะเอามาอีก ให้เก็บเงินไว้แล้วมาซื้อในอาทิตย์หน้านะ ฉันพยักหน้ารับอย่างมีความหวัง

 
แต่แล้ว ความหวังของฉันก็พังทลายลงเพราะเมื่อวันที่ฉันเก็บเงินมามากพอจะซื้อสมุดเล่มนั้น ครูกลับบอกฉันว่า มันหมดแล้ว...หัวใจของเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบมันเกิดอาการสั่นคลอ ฉันเสียใจมาก แม้จะกลั้นใจ ไม่ยอมร้องไห้ออกมาให้ใครเห็น แต่หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันก็ไม่ร้องไห้โวยวายใส่ม่ะม๊า ฉันร้องถามว่า ทำไมพวกท่านให้เงินฉันน้อย ทำไมฉันไม่มีอะไรๆ เหมือนที่เพื่อนเขามีกันบ้าง ทำไมบ้านเราถึงต้องไม่มีเงิน และทำไมเราถึงไม่ได้ไปเที่ยวที่ไกลๆ สวยๆ เหมือนคนอื่นเขาเลย ฉันจำได้ดีว่า ม่ะม๊าบอกกับฉันว่า

ฉันเป็นเด็กดีที่รู้จักเอาเก็บเงินเพื่อซื้อของที่อยากได้ แต่ในบางครั้งอะไรๆ มันก็อาจไม่เป็นไปดังที่หวังไว้ก็ได้

เพราะตอนนั้นฉันยังเด็ก จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนั้นเท่าไร ฉันรู้แต่ว่าหลังจากที่ม่ะม๊าคุยกับฉันเสร็จ ม่ะม๊าก็เดินเข้าไปในครัวและแอบร้องไห้เงียบๆ คนเดียว ภาพนั้นทำฉันใจสลาย ฉันรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิดที่ตัวเองไปโวยวายแบบไม่รู้อะไรเลย หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสมุดจดศัพท์เล่มนั้นอีก และไม่ได้รู้สึกว่า อยากได้อะไรแล้วต้องได้อีกเลย ในทางตรงข้ามฉันกลับรู้สึกว่า

มีเงินพอก็ซื้อ ไม่มีก็ไม่เอา อยากได้ก็หายอยากได้เช่นกัน

ความคิดเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของฉันมาตลอด ฉันไม่ร้องขอเงินจากม่ะม๊าปะป๊า เพื่อซื้ออะไรสักอย่าง เมื่อไรที่อยากได้อะไรจริงๆ จังๆ ฉันจะเลือกค่อยๆ เก็บเงินเพื่อไปซื้อแทน ถึงจะได้มาช้า แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ ที่สำคัญ ฉันมีความสุขกับการได้ใช้เงินของตัวเองในการทำสิ่งที่ชอบมากกว่าไปเบียดเบียนเงินปะป๊าม่ะม๊าด้วย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ฉันเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว หากเพียงแค่ว่า เช้านี้ ฉันบังเอิญเดินไปเจอกับสมุดจดศัพท์เล่มจิ๋วลายแมวที่ตั้งขายอยู่ในร้านเครื่องเขียนเข้า ความทรงจำเกี่ยวกับสมุดเล่มนี้จึงย้อนกลับเข้ามาในหัว คิดแล้วมันก็อดขำไม่ได้ ตอนเด็กๆ ฉันคิดเป็นจริงเป็นจังมาก กับแค่เรื่องของสมุดเล่มเล็กๆ นี่ พอมานึกย้อนดูถึงรู้ว่ามันไร้สาระสิ้นดี แต่เอาเถอะ เมื่อมันเคยเป็นปมในวัยเด็ก ตอนนี้มีกำลังทรัพย์แล้ว ฉันก็ขอแก้ปมในวันนั้นเสียหน่อยละกัน  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น